14 กลยุทธ์โฆษณา Facebook ช่วยให้ยอดขายถล่มทลาย
ใครที่เคยทำโฆษณาใน Facebook ก็จะรู้อยู่แล้วว่า Facebook เปลี่ยนกฎบ่อยมาก หลายคนเลยตามกฎใหม่ๆ ของ Facebook กันไม่ทัน ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการทำโฆษณาใน Facebook ต้องรู้ hacks ทั้ง 14 ตัวที่คุณจะพลาดไม่ได้ถ้าคุณอยากจะเพิ่มยอดขายให้ถล่มทลายตลอดไป
กลยุทธ์ #1: สร้างโฆษณาที่ใช้รูปคนจริง (ไม่ใช่รูป Stock)
ธุรกิจหลายธุรกิจใช้ Stock Photo จากผลสำรวจจากบริษัท Marketing Experiment การใช้รูปคนจริงๆ ที่ไม่ใช่ Stock Photo มีผลตอบรับ (Conversion) ดีกว่าถึง 35% เหตุผลก็คือ รูป Stock Photo ส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่คนใช้กันเยอะ ทำให้เกิด Image Fatigue สมองของเรามีพลังงานจำกัดในแต่ละวันครับ สมองเลยต้องกลั่นกลองข้อมูลว่าอันไหนควรจำ อันไหนควรจะไม่สนใจ
ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ จะได้ยินเสียงเครื่องบินบ่อยมากๆ ตอนแรกๆ จะรู้สึกรำคาญ แต่ต่อมาไม่ค่อยได้ยินเลยเพราะว่าเหมือนมันเกิด “ความเคยชิน” ไปแล้ว รูปโฆษณาก็เหมือนกันครับ ถ้าใช้รูปที่คนใช้เยอะๆ อย่างพวก Stock Photo สมองของลูกค้าคุณก็จะเรียนรู้ที่จะไม่ใส่ใจเหมือนกันครับ
กลยุทธ์ #2: ใช้รูปที่กลุ่มลูกค้าไม่คิดว่าคุณจะใช้ (Surprise)
การใช้รูปที่กลุ่มลูกค้าไม่คิดว่าคุณจะใช้ หรือใช้รูปที่แปลกตา เช่น ถ้าสมมุติทำการตลาดให้กับบริษัท McDonald’s แทนที่จะเอา Joker มาโฆษณา ลองเอาช้างของไทยมาใส่ชุด McDonald’s เป็น Mascot ของร้าน สมองเราไม่ชอบอะไรที่จำเจครับ ถ้ามันเป็นอะไรที่เดิมๆ สมองจะไม่ใส่ใจทันที
กลยุทธ์ #3: ใช้ตัวเลขบอกจำนวนในโฆษณา
การใช้ตัวเลขในโฆษณาไม่ว่าจะเป็นการบอกราคา คนซื้อเท่าไหร่ คนสนใจโฆษณากี่คน ตัวเลขสามารถเพิ่ม Conversion ได้ ตัวอย่างเช่น ยอดไลค์ คอมเมนต์ หรือแชร์ ในโฆษณา Facebook จะบอกให้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ของคุณได้เห็นว่ามีคนสนใจสินค้าของคุณมาก่อนอยู่แล้ว เรียกว่า “Social Proof”
กลยุทธ์ #4: ใช้ Emoji ในโฆษณา
Emoji สำคัญมากในการสื่อสารในโลกออนไลน์สมัยนี้ Emoji เป็นตัวแทนการสื่ออารมณ์ในการสื่อสารได้ดี คนเราส่วนใหญ่ไม่ชอบอ่าน แค่ชอบที่จะดูเป็นรูปมากกว่า
กลยุทธ์ #5: ใส่รีวิวลูกค้าเข้าไปในโฆษณาด้วย
การที่ใส่รีวิวเข้าไปในโฆษณาด้วยจะเป็นการโฆษณาแบบใช้ Social Proof อันนี้ต้องระวังกฎ text overlay 20% ด้วย เทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า ว่ามีคนใช้ของคุณแล้วดีจริงๆ
กลยุทธ์ #6: ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่กลัวที่จะซื้อ
ทำให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าของคุณไปแล้ว เขาไม่รู้สึกว่าเขาจะเสียเงินเปล่าๆ สิ่งที่จะช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจ คือ ความรู้สึกที่ไม่กลัวที่จะซื้อ เช่น ลองเสนอ “ไม่พอใจยินดีคืนเงิน ภายใน xx วัน”
กลยุทธ์ #7: ทดลองคำอธิบายแบบสั้น vs แบบยาว
ในการทำตลาดเราไม่สามารถเดาได้ครับว่ากลุ่มลูกค้าจะชอบอ่านคำอธิบายสั้นหรือยาว ให้ทดลองก่อนว่าคำอธิบายสั้นหรือยาวอันไหนได้รับผลตอบรับ (Feedback) ดีกว่ากัน
กลยุทธ์ #8: สร้างโฆษณาให้เป็น “คำถาม”
การใช้โฆษณาในแนวคำถามจะทำให้กลุ่มลูกค้าของคุณจะต้องหยุดคิด ส่วนสำคัญในการโฆษณาใน Facebook คือ การที่เราสามารถ “ดึงดูดความสนใจ” จากลูกค้าให้ได้
กลยุทธ์ #9: ปลุกความอยากรู้อยากเห็น
ลักษณะหนึ่งที่สำคัญมากของคนก็คือ “ความอยากรู้อยากเห็น” ทำให้คนอยากคลิกอ่านเพิ่มเติม การทำให้ลูกค้าอยากรู้อยากเห็น เรียกว่า “curiosity gap”
กลยุทธ์ #10: ใช้โฆษณาที่มีเวลาจำกัดชัดเจน
ลูกค้าหลายๆ คนอาจจะอยากซื้อสินค้าของคุณจริงๆ แต่ยังไม่ซื้อทันที เผื่อจะมีอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นการที่คุณยิงโฆษณาสินค้าพร้อมกับ “เวลาจำกัด” ให้ชัดเจนก็อาจจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าเลยก็ได้
กลยุทธ์ #11: ใช้รูปที่มีสีฉูดฉาดเพื่อดึงดูดความสนใจ
โฆษณาของคุณไม่ได้แข่งกับโฆษณาอื่นอย่างเดียว คุณต้องแข่งกับ รูปเพื่อนของเขา และอีกหลายอย่าง ถ้าโฆษณาของคุณไม่น่าสนใจ คงจะเป็นไปได้ยากที่จะมีคลิกหรือซื้อสินค้าของคุณ
กลยุทธ์ #12: ใส่ส่วนลดเข้าไปในรูปโฆษณา
บางครั้งการใส่ส่วนลดลงไปในคำอธิบายโฆษณาอาจจะยังไม่เพียงพอ ลองใส่เข้าไปในรูปโฆษณาให้สามารถเห็นชัดๆ บางทีลูกค้าอาจจะอ่านเร็วๆ แล้วเลื่อนผ่านไปโดยที่ไม่ค่อยได้ดูรายละเอียด เพราะฉะนั้นอาจจะไม่เห็นส่วนลดในคำอธิบาย
กลยุทธ์ #13: ใช้รูปคนตั้งแต่คอถึงไหล่ (headshot)
รูปที่ถ่ายตั้งแต่หัวถึงคอแบบไม่เต็มตัว เทคนิคนี้จะดีตรงที่ว่านี้ลูกค้าจะ “งง” และเกิดความ “สนใจ” คนเลยหยุดดู ถึงแม้จะแค่ 2–3 วินาทีก็มีความหมายมากๆ สิ่งสำคัญที่มีส่วนในการทำโฆษณา Facebook คือการทำให้ลูกค้าหยุดและไม่เลื่อนไปต่อ
กลยุทธ์ #14: ใช้รูปที่สื่อถึงอารมณ์
คนเราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจทั้งสิ้น 95% ของการตัดสินใจทั้งหมด ลองคิดดูว่าทำไมโฆษณาของบริษัทพวกประกันถึงได้มีผลต่อความรู้สึกผู้คน ดูแล้วร้องไห้ตามเลยก็มี
ที่มา : zozav